การช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกินเจเพื่อให้อินเทรนด์กับเขาบ้างหมอจึงได้หาข้อมูลเกี่ยวกับการกินเจมาฝากเพื่อนๆ ชาว OK ค่ะเทศกาลกินเจจะเริ่มตั้งแต่ 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำเดือน 9 นับตามปฏิทินจีนซึ่งจะตรงกับเดือนตุลาคมของไทยเราตามตำนานเล่าว่าเมื่อเล่าจื๊อศาสดาแห่งลัทธิเต๋าเกิดขึ้นได้ถือพรตของลัทธิเต๋าแต่นั้นมาhttp://unitus.synergy-e.com/custom/inread/sf/src/html/r.html?ox_ver=8.6คำว่า “เจ” หรือ “แจ” ในภาษาจีนมีความหมายในทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า ” อุโบสถ” และแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ไม่มีคาว”ซึ่งความหมายที่แท้จริงของคำว่า “กินเจ”คือ .. การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวันหรือที่ชาวพุทธในไทยถือ “อุโบสถศีล” หรือคือ “การรักษาศีล 8” โดยหลังจากเที่ยงวันแล้วจะไม่รับประทานอาหารอีกแต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยม “การไม่กินเนื้อสัตว์” ไปรวมกับคำว่า“กินเจ” ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วยทุกวันนี้ถึงแม้จะรับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า “กินเจ”ฉะนั้นความหมายก็คือ “คนที่กินเจ” ไม่ใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์แต่คนกินเจยังต้องดำรงตนให้อยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาดงดงามทั้งกายวาจา และใจ และเป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกันจึงเรียกว่า “กินเจ” ที่แท้จริงกิกิกเราสามารถแบ่งการกินเจได้ 2 แบบ คือการกินเจในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำถึง 9 ค่ำ เดือน 9ตามปฏิทินจีน ซึ่งวันเวลาของการกินเจทั้ง 9 วัน จะมีชื่อเรียกดังนี้คือ ชิวอิก ชิวยี่ ชิวซา ชิวสี่ชิวโหงว ชิวลัก ชิวฉิก ชิวโป๊ย และชิวเก้าโดยที่ “เจอิ๊ว” หรือผู้ร่วมพิธีกินเจจะมีการทำบุญในระหว่าง 9 วันโดยการนำโหงวก้วยหรือซาก้วยผลไม้ 5 หรือ 3 อย่างมาไหว้ ซึ่งมักนิยมใช้ผลไม้ที่มีความหมายเป็นมงคลเช่น ส้ม .. ซึ่งแปลว่า โชคดีองุ่น .. หมายถึง ความงอกงามสับปะรด .. แปลว่า มีโชค และกล้วย .. ที่หมายถึง การมีลูกหลานสืบสกุลส่วนประโยชน์ของการกินเจในมุมมองของแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ1. ให้พลังเย็น โดยได้รับพลังงานจากฟรุกโตสซึ่งมีในผัก ผลไม้ เป็นพลังที่ไม่ทำร้ายร่างกาย2. ช่วยขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายทำให้ไม่มีสารพิษตกค้าง เพราะกากใยในพืชผัก ผลไม้ ช่วยระบบการย่อยและระบบขับถ่าย ทำให้ไม่เป็นโรคเกี่ยวกับลำไส้ รวมถึงโรคที่เกิดจากระบบขับถ่ายผิดปกติต่างๆ3. หากรับประทานเป็นประจำจะช่วยฟอกโลหิตในร่างกายให้สะอาด เซลล์ต่างๆ ในร่างกายจะเสื่อมช้าลง ทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีอายุยืนยาว สายตาดี แววตาสดใส ร่างกายแข็งแรงมีความต้านทานโรคมีความคล่องตัวรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด4. ทำให้ปราศจากโรคร้ายต่างๆเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคตับ โรคลำไส้ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคเก๊าต์ ฯลฯ เพราะได้รับอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์ซึ่งไม่เป็นสาเหตุและยังช่วยป้องกันโรคเหล่านี้5. อวัยวะหลักของร่างกายและอวัยวะเสริมทั้ง 5 ทำงานได้อย่างเต็มสมรรถภาพอวัยวะหลักได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอดอวัยวะเสริมได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็กกระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี6. ผู้ที่กินเจจะมีร่างกายที่สามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปซึ่งได้แก่ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายอื่นๆมลภาวะที่เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งจากรถยนต์และโรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯซึ่งมีปะปนอยู่ในอากาศ รวมถึงแหล่งอาหารและน้ำดื่มจะเห็นได้ว่าในทางการแพทย์นั้นการกินเจมีประโยชน์ในการรักษา ที่สามารถพิสูจน์และมองเห็นได้ชัดเจนกว่าประโยชน์ในทางศาสนา แม้ว่าการปฏิบัติจะไม่เคร่งครัดเท่ากับความต้องการประโยชน์ทางด้านศาสนามักมีการสงสัยกันอยู่เสมอว่าการกินเจจะได้สารอาหารครบทั้ง 5 หมู่หรือไม่โดยเฉพาะ “โปรตีน” ซึ่งคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโปรตีนในเนื้อสัตว์เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพดีมากกว่าโปรตีนในพืชซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนักโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายคนเรา มีมากในอาหารประเภทถั่ว“โปรตีน” คือสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย มีอยู่ในเนื้อสัตว์ทั่วไปรวมทั้งในไข่ขาวและผักและจะมีมากในถั่วชนิดต่างๆเช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และถั่วอื่นๆโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกายจริงๆ มีอยู่ 10 ชนิดซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์และถั่วต่างๆ ที่แตกต่างกันก็คือในเนื้อสัตว์จะมีไขมันมากกว่าถั่วต่างๆ เมื่อกินโปรตีนจากเนื้อสัตว์จึงได้รับไขมันมากขึ้นไปด้วยทำให้อ้วนรวมไปถึงระบบการย่อยอาหารก็ต้องทำงานหนักขึ้นไปด้วย ต่างจากโปรตีนที่ได้จากถั่วซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่า และร่างกายสามารถนำไปใช้ได้พอดีโดยไม่เหลือเป็นส่วนเกิน และยังมีกากใยช่วยทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นและที่สำคัญไม่มีคลอเลสเตอรอลเหมือนในเนื้อสัตว์โปรตีนที่มีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราซึ่งมีอยู่ครบในถั่วต่างๆ คือ1. ไลซีน … มีหน้าที่สร้างความเจริญเติบโตและสร้างความต้านทานให้แก่ร่างกายหากขาดไลซีนร่างกายจะแสดงอาการผิดปกติเช่น มีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เป็นต้น2. กลูตามิก … เป็นกรดอะมิโนที่บำรุงรักษาความเป็นปกติของเซลล์สมองหากขาดกลูตามิกจะเกิดอาการผิดปกติทางสมองควบคุมความรู้สึกและจิตใจตนเองลำบากจะมีอาการเฉยเมย และซึมเศร้า 3. วาลีน … เป็นกรดอะมิโนที่สร้างความเป็นปกติแก่สมองอีกชนิดหนึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อ ระบบประสาท การรับรู้ความรู้สึกนึกคิด 4. อาร์จีนีน … เป็นส่วนประกอบของอสุจิในเพศชายหากขาดจะทำให้มีโอกาสเป็นหมัน เพราะเชื้ออสุจิไม่แข็งแรงทำให้ไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ของเพศหญิงได้ นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายไม่สดใสไม่มีความกระชุ่มกระชวย จิตใจไม่ผ่องใส 5. ซิสตีน … เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายนำมาใช้สร้างเซลล์เส้นผมและอินซูลิน ทำให้ร่างกายต่อต้านสิ่งที่เป็นพิษได้ดีขึ้น สร้างภูมิต้านทานและสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทางลมหายใจผู้ที่ขาดซิสตีนจะเกิดอาการเป็นกังวล หงุดหงิดตับผิดปกติ เส้นผมหลุดร่วง6. ฟีนายอะลานีน … หากขาดกรดอะมิโนตัวนี้จะทำให้ควบคุมตนเองไม่อยู่ในเรื่องการรับประทานอาหารจะทำให้รับประทานอาหารไม่หยุดทำให้เกิดโรคอ้วนและอาการมึน ซึมหรือปวดหัว ฟีนายอะลานีนสามารถนำมาสร้างฮอร์โมนไทร็อกซีนของต่อมไธรอยด์ได้อีกด้วย7. ทรีโอนีน … มีความสำคัญต่อระบบทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหาร หากขาดทรีโอนีนจะเกิดปัญหาในการย่อยอาหารทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด 8. อิสติดีน … ช่วยดูแลรักษาทำให้ประสาทหูให้ทำงานเป็นปกติ หากขาดอิสติดีนจะเกิด ความเสียหายกับประสาทหูและเกิดอาการหูอื้อหูตึง ความสามารถในการได้ยินลดลง9. ทริปโตเฟน … ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารร่วมกับทรีโอนีน นอกจากนี้ยังช่วยสร้างเส้นผม ทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงง่าย รากผมแข็งแรงนอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณผ่องใส และช่วยสร้างเม็ดโลหิตอีกด้วย10. เมทีโอนีน … ช่วยดูแลรักษาตับขับของเสียออกจากตับ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากขาดจะทำให้เส้นตับผิดปกติรวมถึงไตด้วยนอกจากนั้นยังทำให้เส้นผมหลุดร่วงง่าย ร่างกายไม่สดชื่น ผิวพรรณหมองคล้ำ |